วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ดอกไม้ไทย


http://203.144.136.10/service/mod/heritage/nation/flowers/index00.htm
ดอกไม้ไทย
ไม้ดอกชนิดเป็นพุ่ม
กรรณิการ์
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ลำต้นและกิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวออกเป็นคู่ เรียงตรงข้าม ใบทรงรูปไข่ ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย
ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เป็นดอกเดี่ยวมีโคนกลีบติดกัน มีลักษณะเป็นหลอดสีส้ม กลีบดอกแคบ ปลายกลีบสีขาวและไม่เสมอกัน จะมีกลิ่นหอมตอนกลางคืน และดอกจะร่วงหมดในตอนเช้า ผลมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ภายในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด
ขยายพันธุ์โดยการตอนหรือปักชำ
กระดังงาสงขลา
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2 เมตร ใบเป็นชนิดใบเดี่ยวยาว กลีบรองดอกมีสามกลีบ สีเขียว มีขนาดสั้น กลีบใบเรียวสองชั้น ชั้นนอกมี 5 กลีบ ชั้นในมี 15 กลีบ ปลายกลีบเรียวแหลมโคนกลีบด้านในมีแต้มสีน้ำตาล ที่ฐานกลางดอกจะมีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียติดอยู่
กระดังงา ออกดอกตลอดปี มีกลิ่นหอมอบอวล
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
กระดุมทอง
เป็นไม้ล้มลุกพุ่มเตี้ย สูงประมาณ 50 เซนติเมตร ลำต้นมีขนทึบใบเดี่ยว เรียงตรงกันข้าม สัณฐานใบเป็นรูปไข่ หรือรูปรีกว้าง ใบกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนสอบ ขอบเรียบหรือหยักซี่ฟัน ผิวใบมีขนสากทั้ง 2 ด้าน เส้นแขนงใบข้างละ 1 เส้น ก้านใบสั้นมีครีบ มีขนตามก้านใบและขอบครีบ ช่อดอกแบบช่อกระจุก
ออกดอกเดี่ยว ๆ หรือออกเป็นคู่ ตามง่ามใบใกล้ยอดดอกโตประมาณ 3 เซนติเมตร ก้านดอกยาว 1-8 เซนติเมตร โคนช่อมีใบประดับมีขนเรียงกันถี่ โคนใบประกอบชั้นนอกใหญ่ขึ้นเมื่อดอกร่วงไป ดอกวงนอกเป็นดอกตัวเมีย มีประมาณ 10 ดอก กลีบดอกสีเหลืองรูปรี กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร รังไข่เล็ก ดอกวงในเหมือนดอกตัวเมีย แต่รังไข่ไม่สมบูรณ์ ดอกตัวผู้มีขนาดเล็กมากและเป็นหมัน อยู่กลางกระจุกดอก ผลมีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม ยอดแบน เมล็ดเล็กสีดำเป็นมัน ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด กาหลง
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 3 เมตร ใบเป็นแบบใบเดี่ยว รูปไข่ ปลายเว้าลึกคล้ายใบแฝด
ดอกขาวออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ดอกกาหลงมีกลีบ 5 กลีบ เกสร 10 อัน ขนาดต่าง ๆ กัน มีกลิ่นหอมรวยริน ฝักแบนมีเมล็ดประมาณ 5-10 เมล็ด
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการตอน กาหลงออกดอกได้ตลอดปี
กุหลาบ
เป็นไม้พุ่มตั้งหรือเลื้อย ใบเป็นใบประกอบ ประกอบด้วย 3 ใบ หรือ 5 ใบ ขอบใบจัก หูใบติดกับก้านใบหรือเป็นอิสระ
ดอกออกที่ปลายกิ่ง มีทั้งดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยสีเขียว ปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกปกติมี 5 กลีบ เกสรตัวเมียอยู่กลางดอกเป็นผลกลม ภายในมีเมล็ดแข็งจำนวนมาก เกสรตัวผู้มีอยู่เป็นจำนวนมาก กุหลาบมีหลายชนิด หลายพันธุ์ ส่วนใหญ่ดอกมีกลิ่นหอมเย็น
การขยายพันธุ์มีหลายแบบ เช่น เพาะเมล็ด ตอน ติดตา และปักชำ
...กุหลาบหอมหวล ส่งกลิ่นยียวนแสนยวนยั่วหัวใจ
ทั้งหอมทั้งหวาน ดอกเพิ่งบานใหม่ ๆ ...
...ฉันมั่นใจกุหลาบเป็นไม้งามละม่อม ควรจะออมถนอมชม
ทุก ๆ คนพอใจมักเด็ดเอาไปดอมดม หรือจะชมเสียบผมชื่นอุรา
สวยสีสรรค์ทุก ๆ พรรณสุดจะเด่น กลิ่นเยือกเย็นสีที่เห็นไม่บาดตา
กลีบเกสรกลีบอ่อนซ้อนกันดูงามสง่า ทุกเวลารวยรื่นนาสาน่าดม...
...ริมธารละลานไปด้วยบุปผา ดอกแดงกุหลาบพนาสลับลัดดากล้วยไม้ไพร...
พันธุ์ไม้ดอกนานาพรรณของไทย

ดอกไม้ที่ในโลกนี้ เรารู้ได้อย่างดี ว่างามสดสีทั้งนั้น
ปวงมาลีมากมีต่างพรรณ สวยงามทั่วกัน เพื่อความสัมพันธ์ชื่นชม
บุปผามาลีประดับความงาม หาใช่เพื่อเลวทราม แต่มีเพื่อความนิยม
บุปผามาลีมีไว้เพื่อดูและดม ไว้ชะโลมอารมณ์ ไว้เพียงเพื่อชมนาน ๆ
ดอกไม้ที่ในโลกนี้ แจ่มใสอยู่ด้วยดี สอางค์สดสีสะอ้าน
ปวงมาลีเกิดมาเพื่อความเบิกบาน เล้าโลมวิญญาณ เพื่อความสำราญทุกโมงยาม
ดอกไม้สอางค์ต่าง ๆ นานา ล้วนแต่เกิดมา เพื่อความสดชื่นสวยงาม
โลกหมุนเวียนวนไปสักกี่หนก็ตาม ทุกนาทีโมงยาม ทวีแต่ความงามครัน
บุปผามาลีนานาพรรณของไทยนับวันจะหายาก และไม่ไคร่เป็นที่รู้จักของอนุชนรุ่นหลัง เนื่องจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนและป่าตามธรรมชาติของไทยค่อย ๆ หมดสภาพไปตามความเป็นไปของบ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งเจริญขึ้นในด้านหนึ่ง และเสื่อมไปในอีกด้านหนึ่ง ความนิยมพันธุ์ไม้ต่างชาติซึ่งก็สวยงามน่าชมทั้งสิ้น ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรณไม้ของไทยหายไปจากชีวิตประจำวัน พรรณไม้บางอย่างคงรู้จักแต่ชื่อ แต่ตัวจริงหาดูได้ยาก
ปัจจุบันหลายหน่วยงานได้มีการรวบรวมพรรณไม้ไทยมาปลูกไว้ในสวนขนาดต่าง ๆ ตามกำลังของตนซึ่งนับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ควรได้ส่งเสริมให้เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งกลุ่มคนและปัจเจกบุคคล เพื่อให้พรรณไม้ไทยได้ยืนยงคงอยู่ได้ชมความงามตามธรรมชาติ ซึ่งบรรพบุรุษของไทยเราได้สร้างสมมาเป็นเวลายาวนาน บรรดาวรรณคดีไทยและวรรณกรรมไทย จะมีตอนชมนกชมไม้แทรกอยู่โดยตลอด ทำให้เห็นว่าวิถีชีวิตไทยที่มีความเป็นอยู่อย่างสุขสงบมาเป็นเวลาช้านานนั้น การอิงธรรมชาติเป็นสิ่งที่สำคัญประการหนึ่ง และพรรณไม้ดอกของไทยก็มีส่วนอย่างสำคัญในวิถีชีวิตดังกล่าว
ไม้งามปกคลุมชะอุ่มดูเขียว ได้แต่แลเหลียวตะลึงลานใจ
พันธุ์บุปผาชาติดาษดา ผกาวิไล ส่งกลิ่นชื่นใจเมื่อได้ลมพา
ไม้ดอกต่าง ๆ ของไทย มีตั้งแแต่ขนาดเล็กเป็นไม้ล้มลุก ไม้เถา ไม้เลื้อย ไม้พุ่ม ตลอดจนไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีไม้น้ำหลายประเภทที่ให้ดอกสวยงาม นับว่ามีความหลากหลายเหมาะสมแก่สภาพความเป็นอยู่ และความต้องการที่จะมีไว้ชื่นชม เข็ม

เป็นไม้พุ่ม ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือกิ่งข้าง
ดอกมีหลากสีด้วยกันคือ สีแดง ส้ม ชมพู เหลือง และขาว เป็นต้น ดอกเข็มมีลักษณะเป็นหลอดเล็ก ๆ ที่ปลายหลอดมีกลีบแยกจากกันเป็น 4 กลีบ ถ้าดอกซ้อนอาจจะมีถึง 8 กลีบ หรือมากกว่านั้น เกสรตัวผู้ติดอยู่ที่หลอดดอกด้านบน และอยู่สลับกับกลีบ เกสรตัวเมียยื่นเลยหลอดดอกออกมา มี 2 แฉก เข็มจะออกดอกตลอดทั้งปี น้ำหวานจากดอกเข็มมีปริมาณมาก เราสามารถดูดน้ำหวานด้วยปากโดยตรงจากดอกเข็มแต่ละดอกได้โดยง่าย
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และด้วยการตอนคัดเค้า
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย มีหนามคู่ตามกิ่งก้าน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบสีเขียวสด ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม
ดอกเป็นช่อคล้ายดอกเข็ม โคนดอกเป็นหลอดสั้น ๆ ปลายดอกแยกเป็น 5 กลีบ เกสรตัวผู้ติดที่ปลายหลอด ดอกเป็นสีเหลือง ออกดอกประมาณในฤดูหนาวประมาณเดือนธันวาคม-มกราคม
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
ชบา
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1-3 เมตร ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่กว้าง ปลายใบแหลมเรียว ขอบใบเรียบหรือมีจักเล็กน้อย
ดอกชบาออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว กลีบรองดอกมี 2 ชั้น สีเขียว ดอกมีทั้งดอกลาและดอกซ้อนมีหลากสี เช่น สีแดง สีชมพู และสีเหลือง เป็นต้น มีทั้งดอกใหญ่และดอกเล็ก เกสรตัวผู้เป็นหลอดยาวยื่นออกมาจากกลางดอก ปลายสุดเป็นเกสรตัวเมียมีลักษณะเป็น 5 แฉก สีแดง เกสรตัวผู้ติดอยู่รอบ ๆ หลอดเป็นสีเหลือง ชบาออกดอกตลอดทั้งปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอนช้องนาง
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1-2 เมตร ใบรี ปลายแหลม ออกเป็นคู่ตามกิ่ง
ดอกเป็นรูปแตร ปลายผายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกสีม่วง กลางหลอดดอกเป็นสีเหลือง ดอกยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ช้องนางออกดอกตลอดทั้งปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
ช้องแมว
เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย ใบเป็นชนิดใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันกับคู่ มีลักษณะเป็นรูปไข่ ปลายมน ดอกช้องแมวออกเป็นช่อตามกิ่งข้าง และห้อยลงมา
ดอกจะออกจากซอกของใบประดับ ซึ่งเรียงซ้อนกัน ตัวใบประดับ เป็นสีเขียวอมเหลืองมีสีแดงประอยู่เป็นจุด ตัวดอกสีเหลือง ที่โคนกลีบติดกันเป็นรูปหลอดกลีบดอกแยกกันที่ปลายของหลอดดอก ช้องแมวจะออกดอกในช่วง เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการตอนหรือการปักชำ
ทองอุไร
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2-4 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อยที่ปลายชุด ใบย่อยมีลักษณะหยิกเป็นฟันเลื่อย
ทองอุไรออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง สีเหลืองสด กลีบดอกติดกันเป็นรูปกรวย ปลายกลีบแยกออกเป็น 5 แฉก ปลายกลมมน ผลเป็นฝัก เมื่อฝักแก่ ภายในจะมีเมล็ดแบบมีปีก ทองอุไรออกดอกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
ทิวาราตรี
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 2-3 เมตร คล้ายต้นราตรีแต่ใบสั้นกว่าใบมีลักษณะเกลี้ยง ดอกมีขนาดเล็กกว่าดอกราตรี
ออกดอกเป็นช่อกระจาย กลีบดอกตัดกันเป็นหลอด ส่วนปลายกลีบแยกจากกันและม้วนกลับ ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมเวลากลางวัน ออกดอกประมาณเดือนละครั้ง ตลอดทั้งปี ผลเมื่อสุกจะสีดำ
ขยายพันธุ์ด้วยการตอนหรือการปักชำ
นมสวรรค์
เป็นไม้พุ่ม สูงประมาณ 1.5 เมตร ใบมีสัณฐานค่อนข้างกลม มีแฉกตื้น ๆ 5 แฉก ปลายแฉกแหลม ผิวใบเป็นมันสีเขียวเข้ม ใบออกตรงข้าม ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร
ดอกออกเป็นช่อออกที่ปลายยอด ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร พุ่มดอกเป็น รูปทรงเจดีย์ ดอกเป็นสีแดงสด ออกดอกใบฤดูฝน เป็นไม้ที่ชอบขึ้นตามชายป่า
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือการตอน
"...นมสวรรค์นั้นสอางค์ ดั่งกับถันหลั่นสล้างโสภิณ..."

นางแย้ม
เป็นไม้พุ่มเนื้ออ่อน สูงประมาณ 1 เมตร ใบใหญ่ออกตรงข้ามเป็นคู่ ใบยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ขอบใบจัก
ดอกออกเป็นช่อแน่นที่ปลายกิ่ง ดอกบานไม่พร้อมกัน ขนาดดอกประมาณ 3 เซนติเมตร กลีบซ้อนแน่นสีขาวคล้ายมะลิซ้อน แต่กลีบดอก ชั้นนอกเป็นสีม่วงอ่อน กลิ่นหอมแรง
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำ ทับกิ่งหรือสะกัดราก

"....หอมเอยหอมดอกไม้ ดอกใดที่ไหนเอ๋ย
กลิ่นนางแย้มหอมชวนเชย กลิ่นระเหยเหมือนประทินกลิ่นนวลปราง
ไม้ดอกชนิดเป็นเถา

รุ่งอรุณเรืองแรงแสงทอง งามยิ่งเคลิ้มมอง งามส่องนภา
สว่างกระจ่างพรายพราวเร้าตา งามทั่วท้องฟ้า พื้นหล้าวิไล
เยือกเย็นลมรำเพยพัดโชย พากลิ่นหอมโรย โชยฉ่ำฤทัย
กิ่งผกาพากันพริ้วใบ ชูช่อไหวใบ สดใสตามลม
เหล่าผีเสื้อแสนงามยามเช้า คลอเคล้าลัดดา ลอยเล่นลมเร้าตา
เริงสุขพานิยม บ้างลงไล้ไต่ตอมน้อมโน้ม สุขสมสรรค์ดมผกา
การเวก
เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ กิ่งก้านค่อนข้างเรียบ มีขนมากเฉพาะที่ตาและยอดอ่อน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน สัณฐานของใบเป็นรูปรีหรือรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ
ออกดอกเป็นช่อๆ ละ 1-5 ดอก ก้านช่อดอกแบนและโค้งคล้ายขอ ออกตรงข้ามกับด้านใบ ดอกมีขนาดใหญ่สีเขียวมีขนมาก
เมื่อดอกแก่จะเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็กสีเขียว ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอกเป็นรูปไข่รียาว เรียงเป็น 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก เกสรตัวเมียหลายอันอยู่แยกกัน ผลรูปรีป้อมหรือรูปไข่กลับ ออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4-20 ผล เมื่อผลแก่จะเป็นสีเหลือง ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่งหรือเพาะเมล็ดคิ้วนาง
เป็นไม้เถามีมือเกาะกิ่งอ่อน มีขนสีน้ำตาล ใบเว้าผ่ากลางเป็น 2 ซีก คล้าบใบย่อย 2 ใบ ใบมีสัณฐานเป็นรูปไข่เบี้ยว ปลายกลม ดอกมีขนาดใหญ่สีขาว เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 15 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกออกดกมากและจะทะยอยกันบานวันละ 1-3 ดอก ดอกมี 5 กลีบ ร่วงง่าย เกสรตัวผู้มี 10 อัน ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร ชูอับเรณูขึ้นเหนือกลีบดอกเห็นได้ชัด ฝักยาวประมาณ 30 เซนติเมตร
ออกดอกประมาณเดือนสิงหาคม-มกราคม ชอบขึ้นตามป่าผลัดใบ และป่าโปร่งบนภูเขาหินปูนในภาคกลาง และภาคตะวันออก
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่งชมนาค
เป็นไม้เถาเลื้อย เถาแข็งใบใหญ่ ผิวใบเป็นมันเรียบ ปลายใบแหลม ใบสีเขียวแก่ ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
ออกดอกตามกิ่งข้างหรือปลายเป็นช่อ ช่อหนึ่งมีประมาณ 12 ดอก ดอกสีขาวอมเขียวมีกลิ่นหอม ดอกมีกลีบติดกันเป็นถ้วยตื้น ๆ ปลายแยกจากกันเป็นแฉกตื้น ๆ เกสรตัวผู้มี 5 อันติดกัน กลางดอกเป็นรูปศร ดอกโตประมาณ 1 เซนติเมตร
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งหรือการตอน
ดองดึง
เป็นไม้เถาเล็ก มีหัวใต้ดิน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกตามข้อ 1-3 ใบ ใบมีสัณฐานเป็นรูปหอกค่อนข้างยาว ปลายใบเรียวแหลมและโค้งงอเป็นมือเถา โคนใบกว้าง ไม่มีก้านใบ
ดอกใหญ่สีแดง เหลือง ออกตามง่ามใบใกล้ยอด ก้านดอกยาว ดอกมี 6 กลีบ รูปร่างยาวแคบ ขอบกลีบเป็นคลื่นไม่เรียบ ปลายกลีบโค้งกว้างลงมาทางก้านดอก เกสรตัวผู้มี 6 อัน ยาวชี้ออกเป็นรัศมีตามแนวนอน ท่อรังไข่ยาว ปลายแยกออกเป็นแฉกเล็ก ๆ 3 แฉก ผลเป็นฝักยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือแยกเหง้า
เถาไฟหรือโยธกาเลื้อย
เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ มีมือเกาะ ตามกิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปไข่กว้างหรือค่อนข้างกลม โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจ ปลายใบเว้าตื้นบ้างลึกบ้าง ปลายใบแฉกแหลมหรือกลม ก้านใบยาวประมาณ 3 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อ ดอกสีส้มแดง มีขน ดอกตูมกลมปลายแหลมมน กลีบเลี้ยงแยกเป็น 2-3 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ รูปไข่ยาว ประมาณ 1 เซนติเมตร ด้านนอกมีขน เกสรตัวผู้มี 3 อัน ก้านเกสรเล็กยาวกว่ากลีบดอกเล็กน้อย เกสรตัวผู้ฝ่อมี 2 อันเล็ก รังไข่มีขน ฝักรูปบันทัดยาวประมาณ 17 เซนติเมตร
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง
โนรา
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง รอเลื้อย. ถ้าปลูกกลางแจ้งอาจจะเป็นไม้พุ่ม ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ตรงข้ามกัน สีเขียวเข้ม
ดอกออกเป็นช่อ ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร สีขาว หรือสีชมพูอ่อน กลีบบนเป็นสีเหลืองมะนาว กลิ่นหอม ดอกจะบานอยู่ ประมาณ 3 วันก็ร่วง แต่จะมีดอกใหม่ทะยอยกันบานตามลำดับ ผลเป็นปึกประกบกันเป็น 3 มุม สีน้ำตาล ออกดอก ประมาณเดือนธันวาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำหรือตอนกิ่ง
ปันหยี
เป็นไม้เถา เถากลมเกลี้ยงเป็นมัน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร รูปทรงป้อมปลายแหลม โคนป้าน ขอบใบเรียบ สีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีอ่อน ก้านใบสั้น
ดอกออกเป็นช่อเล็ก ๆ ช่อละ 2-3 ดอก สีขาว ออกตามง่ามใบ มีกลีบเลี้ยงเป็นเส้น ๆ สีเขียวอ่อน โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็ก ๆ ส่วนปลายดอกเป็นกลีบ แยกออกเป็น 8-9 กลีบ เรียงซ้อนกัน ดอกเมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 7 เซนติเมตร
ออกดอกประมาณเดือนมกราคม
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือการตอน
วงคพราม
เป็นไม้เถา กิ่งก้านเรียวเล็ก ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ มีสัณฐานรี กว้างประมาณ 3-7 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6-18 เซนติเมตร ปลายแหลมโคนสอบแคบ ขอบใบเรียบ
ดอกออกเป็นช่อ ห้อยย้อยตามง่ามใบ สีม่วง หรือ สีม่วงคราม โคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก เกสรตัวผู้มี 4 อัน
ออกดอกใบฤดูหนาวและแห้งโดยจะทิ้งใบหมด
ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งหรือการตอน
พวงชมพู
เป็นไม้เถาเลื้อยพันโดยอาศัยมือเกาะ ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปไข่ หรือรูป สามเหลี่ยมปลายแหลม โคนใบเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบเส้นใบเห็นได้ชัด
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอดหรือตามง่ามใบ ดอกมี 5 กลีบ สีชมพู หรือสีขาว ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดและการชำกิ่ง พวงประดิษฐ์
เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน มีสัณฐานรูปไข่ปลายแหลม กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ด้านบนสากด้านล่างมีขน
ออกดอกเป็นช่อใหญ่ โคนดอกมีใบระดับ 3 ใบ มีหลายสีตั้งแต่สีขาว สีชมพู จนถึงสีม่วงแก่ ดอกจริงมีขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงมี 5 แฉก มีขนมาก เกสรตัวผู้สีเหลือง ออกดอกเดือนธันวาคมถึงเมษายน
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และการปักชำกิ่ง
พวงสามสิบ
เป็นไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งก้านทอดยาว มีรากเป็นกระจุกอยู่ในดิน ใบเป็นประเภทลดรูปเป็นเกล็ดเล็ก ๆ สีเขียว
ดอกมีขนาดเล็กอยู่รวมเป็นช่อ ช่อดอกยาวมาก ดอกจะออกจากกิ่งข้าง มี 6 กลีบ เกสรตัวผู้มี 6 อัน ผลมี 3 พู
ขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอหรือแยกหน่อ
มลุลี
เป็นไม้เถา ตามยอดอ่อนมีขนนุ่ม ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน มีสัณฐานรูปไข่ โคนเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบแหลมหรือมน ก้านใบสั้น
ดอกออกเป็นช่อแน่น ที่บริเวณยอดและตามง่ามใบ สีขาวสะอาด โดยช่อมีขนนุ่มสีเทาอยู่เต็ม ดอกจะบานพร้อมกันทั้งช่อ และบานอยู่ทน เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 3 เซนติเมตร กลีบดอกเป็นรูปขอบขนานมีดอกประมาณ 8 กลีบ กลิ่นหอมแรง
ขยายพันธุ์ด้วกยารปักชำกิ่ง หรือการตอน
รสสุคนธ์
เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดกลาง ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปรี ขอบใบจักสีเขียวเข้ม ผิวสาก
ออกดอกเป็นช่อ ยาว 4-15 เซนติเมตร ตามปลายกิ่งและง่ามใบ ดอกสีขาว กลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวมี 5 กลีบ กลีบเลี้ยงติดทน แต่กลีบดอกร่วงง่าย เกสรตัวผู้มีมาก เมล็ดมีเนื้อหุ้ม ออกดอกตลอดปี รสสุคนธ์ขึ้นทั่วไปในป่าละเมาะ และป่าผลัดใบ นิยมปลูกประดับตามซุ้ม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และตอนกิ่ง
เล็บมือนาง
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ มีสัณฐานรีหรือรีแกมขอบขนาน ใบกว้างประมาณ 3-9 เซนติเมตร ยาวประมาณ 5-18 เซนติเมตร โดยใบกลมปลายใบเรียวแหลม
ดอกออกเป็นช่อใหญ่ ห้อยระย้า บริเวณยอดและง่ามใบ สีดอกแรกบานสีขาว จากนั้นเป็นสีชมพูและแดงเข้ม มีกลิ่นหอม ช่อดอกยาว 2-20 เซนติเมตร โดยดอกมีใบประดับ กลีบเลี้ยงสีเขียวอมเหลือง เขียนติดกันเป็นหลอดเล็กและยาวประมาณ 8 เซนติเมตร ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก กลีบดอกมี 5 กลีบ ออกดอกตลอดปีพบขึ้นตามชายป่า นิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้เลื้อยเป็นซุ้ม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด การตอน หรือทับกิ่ง
สร้อยฟ้า
เป็นไม้เถาเลื้อย ใบมี 3 แฉก ขอบเรียบ โคนใบเป็นรูปหัวใจ ดอกโตประมาณ 10 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม กลีบรองดอกขาว ด้านหลังเขียว ขอบกลีบม้วนเข้า กลีบดอกสีขาวประสีชมพูอ่อน ด้านนอกสีขาวอมเขียว ระยางสีม่วงสีฟ้าและสีขาวที่ปลาย ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
สร้อยมาลี
เป็นไม้เถา ลำต้นกลม ภายในมีน้ำยางใส ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบมีเนื้อหนา กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อแบบกระจายตามง่ามใบ ยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร ดอกสีขาวเล็ก มีกลิ่นหอม ดอกจะบานพร้อมกัน ดอกจะออกประมาณเดือนธันวาคม ถิ่นกำเนิดในประเทศไทย ตามป่าเบญจพรรณ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ และตอนกิ่ง
สร้อยอินทนิล
เป็นไม้เถาขนาดใหญ่ ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกันเป็นคู่ มีสัณฐานเป็นรูปไข่ หรือรูปหัวใจ ใบกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร ขอบใบหยักเว้าเป็น 5-7 แฉก ผิวใบสาก ก้านใบยาวประมาณ 4 เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อห้อยเป็นสายยาวได้ถึง 1 เมตร ดอกสีฟ้าอ่อนถึงฟ้าเข้ม เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 7 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 4-5 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนกลีบติดกันเป็นท่อสั้น ๆ มีเกสรตัวผู้ 2 คู่ ออกดอกตลอดปี ชอบขึ้นตามป่าดงดิบและป่าเบญจพรรณ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามซุ้ม
สายน้ำผึ้ง
เป็นไม้เถา ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน มีสัณฐานรูปขอบขนาน แกมรูปไข่ หรือรูปหอก โคนใบมน ปลายใบแหลม ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ก้านใบสั้น
ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอม ที่โคนช่อมีใบประดับ กลีบดอกตอนโคนติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบ กลีบบนมี 4 หยัก กลีบล่างมีหนึ่งกลีบ ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร เกสรตัวผู้ยาวกว่ากลีบดอก ผลกลมสีดำ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่ง
แส
เป็นไม้เถาเล็ก ใบเป็นประเภทใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย
ออกดอกเป็นช่อตามง่ามใบ ดอกสีน้ำเงินอมม่วง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ออกดอกตลอดปี นิยมปลูกเป็นไม้ประดับริมรั้ว หรือใส่กระถางห้อย
ขยายพันธุ์ด้วยการชำกิ่ง
หิรัญญิการ์
เป็นไม้เถาเนื้อแข็ง มีน้ำยางสีขาวตามกิ่งอ่อน ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน มีสัณฐานเป็นรูปไข่ กลีบรี หรือรีแกมขอบขนาน ปลายและโคนใบแหลม ผิวใบด้านบนเป็นมัน
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือตามง่ามใบ ดอกสีขาวมี กลิ่นหอม กลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ กลีบดอกมี 5 กลีบ โคนดอกเชื่อมกันเป็นท่อรูปกรวย ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร เกสรตัวผู้มี 5 อัน เกสรตัวเมียมี 2 ช่อง แยกจากกัน ผลเป็นฝักคู่ ยาวประมาณ 12-25 เซนติเมตร นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง
อัญชัน
เป็นไม้เถา ลำต้นมีขนนุ่ม ใบเป็นช่อยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีใบย่อยรูปไข่ 5-7 ใบ
ดอกสีน้ำเงิน เป็นดอกเดียว รูปทรงคล้ายฝาหอย ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร กลีบคลุมรูปกลมปลายเว้าเป็นแอ่ง บริเวณส่วนกลางมีสีเหลือง ออกดอกตลอดปี นิยมปลูกให้เลื้อยตามรั้ว
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ไม้ยืนต้นที่ให้ดอก

....พฤกษชาติคลี่ใบขยายกลิ่น ระรื่นรสรวยรินประทินหวาน
ขจรอบอวลไปในพนา ซาบซ่านนาสาน่ารื่นรมย์
ที่สูงโลดโดดเด่นเห็นจังก้า แผ่กิ่งก้านสาขาสง่าสม
ระบัดใบพลิกพลิ้วละลิ่วลม ชื่นพนมชมพนาอ่าวิไล
ไม้ดอกออกสพรั่งตาดารดาด ตฤณชาติเขียวขจีสดสีใส
ดุจผืนพรมอันสะอาดปูลาดไป ประดับไว้ด้วยพฤกษานานาพันธุ์
ต่างชนิดต่างสีต่างขนาด ที่แดงชาดช่อเชิดดูเฉิดฉัน
ม่วงเหลืองส้มชมพูฟ้าวิลาวัณย์ สลับพรรณแลลานตระการตา

.... งามมวลหมู่ผกาลดาชาติ วิไลวิลาสมากมีหลากสีสรรค์
ส่งกลิ่นหอมตลบไปทั่วไพรวัน พาใจฉันปลาตทุกข์สุขสราญ

.... ตามริมฝั่งข้างธารสำราญชื่น ระรวยรื่นรสรินกลิ่นเกสร
ดอกพิกุลบุนนาคหลากพุดซ้อน ผึ้งภมรวิหคเหิรเพลินชมไพร ....
กระดังงา
เป็นไม้ต้นสูงประมาณ 8-15 เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดรูปกรวยแหลม โปร่ง กิ่งเกือบตั้งฉากกับลำต้น ปลายกิ่ง ลู่ลงดิน
ดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกตามซอกใบ ออกดอกตลอดทั้งปี ผลเป็นผลกลุ่ม เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนสีจากสีเหลือง อมเขียว เป็นสีเหลืองและสีดำ ผลหนึ่งมี 4 - 5 เมล็ด เมล็ดกลมแบน
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือกิ่งตอน
กระทุ่มนา
เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 5 เมตร เรือนยอดแหลม ใบใหญ่ค่อนข้างกลม ออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน เนื้อใบค่อนข้างหนา
ออกดอกเป็นช่อกลมตามปลายกิ่ง แต่ละช่อมีกาบรองดอกใหญ่อยู่ 1 คู่ กลีบรองดอกเป็นหลอดปลายแยกกันเป็น 5 แฉก กลีบดอกโคนกลีบติดกันเป็นหลอดปลายหลอดแยกเป็น 5 แฉก เกสรตัวผู้มี 5 อัน ติดที่กลีบดอกด้านใน ผลเล็ก ผิวแข็ง อัดรวมกันกลม เมล็ดมีปีก ออกดอกในเดือนสิงหาคมกึงกันยายน
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
กฤษณา
เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูงประมาณ 10-15 เมตร ลำต้นเปลา ตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์ต่ำ เปลือกเรียบสีเทา ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว มีสัญฐานรี แถบขอบขนาน ปลายใบแหลม ออกเรียงสลับกัน ผิวใบเป็นมัน
ดอกสีเหลืองมีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อเล็ก ๆ เป็นกระจุกตามง่ามใบและปลายกิ่ง ผลรูปทรงรีกลมแบน เปลือกแข็งมีขนสีเทา เมื่อผลแก่จะแตกกลีบรองดอกเจริญติดอยู่กับผล
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
กาฬพฤกษ์
เป็นต้นไม้ผลิดใบสูงประมาณ 20 เมตร โคนต้นมีพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกสีดำแตกเป็นร่องลึก ใบเป็นประเภทใบประกอบ จำนวน 10-20 คู่ ใบออ่นจะออกสีแดง ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน หลังใบมีขนนุ่ม โคนและปลายใบมนกลม
ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งข้าง ช่อหนึ่งมีประมาณ 20 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก กลีบรองดอกกลมมีขน ขณะที่ดอกบานกลีบจะกระดกกลับ กลีบดอกรูปไข่ เมื่อดอกบานใหม่ ๆ จะเป็นสีแดง จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีส้ม เกสรตัวผู้มี 10 อัน ขนาดไม่เท่ากัน ฝักแข็ง กลม ผิวขรุขระสีดำ ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ประมาณ 30 เมล็ด ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
กันเกรา
เป็นไม้ต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร เปลือกหยาบสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก ใบมีสัญฐานรูปรี ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ปลายและฐานใบแหลม ใบหนา
ออกดอกเป็นกระจุกบนก้านช่อสั้น ๆ เมื่อดอกเริ่มบานออกสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง กลิ่มหอม ผลกลมเล็กสีส้ม เมื่อผลสุกจะออกสีแดง เมล็ดขนาดเล็ก ออกดอกเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม กันเกราจะขึ้นตามป่าเบญจพรรณชื้น และตายที่ใกล้น้ำ
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
กัลปพฤกษ์
เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางสูงประมาณ 12 เมตร เปลือกสีเทา เรือนยอดแผ่กว้างทุกส่วนมีขนปกคลุมหนาแน่น ใบเป็นประเภทในประกอบมีใบย่อย 5-7 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนาน มีขนอ่อนทั้งหน้าและหลังใบ
ดอกสีชมพูเข้มออกเป็นช่อ ตามกิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาว จะออกดอกหลังการผลัดใบพร้อมผลิใบใหม่ ผลเป็นฝักเมื่อฝักแก่จะออกสีน้ำตาลเข้ม ฝักยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ประมาณ 30-40 เมล็ดต่อฝัก
ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ชอบขึ้นตามป่าเขาหินปูน และป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
กุ่มน้ำ
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 5-12 เมตร เรือนยอดแผ่กระจาย หรือรูปทรงกลม ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบนิ้วมือ ประกอบด้วยใบย่อย 3 ใบ ปลายใบย่อยแหลมเรียว ใบจะร่วงหมดต้นขณะมีดอก ดอกสีเหลืองนวล เกสรสีม่วง ผลรูปกลม หรือรูปไข่สีเทา ผิวนอกแข็งและสาก พบตามริมน้ำทั่วไป
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
กุ่มบก
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 5-12 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบหรือรูปทรงกลม ใบเป็นแบบใบประกอบแบบนิ้ว มือประกอบด้วย ใบย่อย 3 ใบ ปลายใบย่อยป้าน ใบจะร่วงหมดต้นขณะมีดอก
ดอกสีเหลือง เกสรสีม่วง ผลรูปกลมรี พบตามป่าเบญพรรณทั่วไป หรือตามที่ดอน
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
แก้วเจ้าจอม
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 10-15 เมตร เรือนยอดกลม ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบขนนก มี 3 คู่ ใบย่อยมีขนาดไม่เท่ากัน ใบคู่ปลายจะยาวที่สุด ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร ใบย่อยรูปรีปลายมน
ดอกสีฟ้าดอกเป็นกระจุกมี 5 กลีบ เกสรสีเหลือง มี 8-10 อัน ผลสีเหลือง ออกดอกเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือการตอน
แก้ว
เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูงประมาณ 5 เมตร ใบเป็นประเภทในประกอบแบบขนนก ชนิดที่มีใบยอด 1 ใบ มีใบย่อย 7-8 ใบ ใบย่อยยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีสัญฐานรีหรือรูปขอบขนาน ปลายแหลมยาวประมาณ 5-10 เซนติเมตร
ดอกสีส้มอมแดงไม่มีก้านดอก มักอยู่ติดกัน 3-5 ดอก ดอกเป็นหลอดแคบ ๆ มีเกสร 5 อัน อยู่ในหลอดดอก ผลกลมเมื่อสุก จะออกสีดำ ภายในมีเมล็ด ออกดอกเกือบตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน

ไม้แก้วกลิ่นแก้วกราย หอมบ่วายวังเวงใจ
ทุกข์ลืมปลื้มอาไลย ว่ากลิ่นแก้วแล้วเรียมหา
เขล็ง
เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูงประมาณ 15-25 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมสีเขียวเข้ม เปลือกสีเทาหรือสีน้ำตาล แตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ใบเป็นประเภทใบประกอบ มีใบย่อย 5-9 ใบ ออกสลับกัน ปลายใบป้านหรือแหลมเรียว โคนใบกลม
ออกดอกเป็นช่อใหญ่ยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร ดอกมีขนาดเล็ก เมื่อดอกตูมอยู่จะเป็นรูปไข่ เมื่อดอกบานจะออกสีขาว เกสรมี 2 อัน ผลเป็นรูปไข่ ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด มีเนื้อหุ้มบาง ๆ เรียกว่า ลูกหยี
แคฝรั่ง

เป็นต้นไม้ผลัดใบสูงประมาณ 15 เมตร เรือนยอดโปร่ง เปลือกลำต้นสีกระดำกระด่าง ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบขนนก ชนิดที่มีใบย่อยที่ปลาย ใบย่อยยาวประมาณ 4 เซนติเมตร มี 7-17 ใบ
ออกดอกเป็นช่อยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ดอกมี 2 สี คือ สีขาวและสีชมพู ดอกเล็กขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ฝักแบนมีเมล็ด 2-6 เมล็ดต่อฝัก ออกดอกเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือการปักชำกิ่ง แคแสด
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 20 เมตร ถ้าอยู่ในที่แห้งแล้งจะผลัดใบ ใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 4-7 คู่
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งตรงดอกสีแสดเป็นรูประฆังขนาดใหญ่ กลีบดอกร่วงง่ายออกดอกตลอดปี แต่จะออกมากในฤดูหนาว ระหว่างเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ ผลแบบคล้ายฝัก ปลายผลแหลม เมื่อผลแก่จะออกสีน้ำตาลดำ เมล็ดมีขนาดเล็กรูปร่าง แบนมีปีก
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
งิ้ว
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 15 เมตร ลำต้นและกิ่งมีหนาม เรือนยอดแผ่กระจายหรือรูปทรงกลมโปร่ง ใบเป็นแบบใบประกอบ แบบนิ้วมือ ประกอบด้วยใบย่อย 5-7 ใบ
ดอกสีแดงหรือสีเหลือง ผลกลมยาวสีเขียวขนาดประมาณ 20 เซนติเมตร เมื่อแก่จะเป็นสีน้ำตาลและแตกออก ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาล ออกดอกระหว่างเดือนธันาวาคมถึงกุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
จิกน้ำ
เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูงประมาณ 15 เมตร ทรงต้นแผ่กว้าง ใบรูปไข่กลับ ใต้ใบสีอ่อน
ดอกเล็กกลิ่นหอม ออกเป็นช่อที่ ปลายกิ่งห้อยลงมายาวประมาณ 30 เซนติเมตร กลีบดอกมี 4 กลีบ สีชมพู เกสรขาว มีอยู่เป็นจำนวนมากเรียง 3 ชั้น เกสรร่วงง่าย ผลรูปรีเหลี่ยมยาวประมาณ 5 เซนติเมตร ปลายตัด พบขึ้นมากตามริมฝั่งแม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ป่าชายเลน
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
จามจุรี
เป็นต้นไม้ขนาดใหญ่สูงประมาณ 20 เมตร เปลือกลำต้นสีดำแตกล่อนได้ง่าย เรือนยอดเป็นรูปร่มกว้าง ใบเป็นประเภท ใบประกอบขนนกสองชั้น ใบประกอบมีช่อใบ 4 คู่ ใบย่อย 2-10 คู่ ต่อช่อใบ ใบมีสัญฐานรูปไข่หรือรูปขนมเปียกปูนเบี้ยว ผิวใบเป็นมัน มีขนใต้ใบเล็กน้อย
ออกดอกรวมเป็นกระจุก ช่อดอกมีก้านช่อ กลีบดอกเล็กมาก เกสรสีชมพู มีจำนวนมาก ฝักกลมแบนยาวประมาณ 15 เซนติเมตร เมื่อฝักแก่จะสีดำ แต่ละฝักมีเมล็ดประมาณ 20 เมล็ด ออกดอกเดือนสิงหาคมถึงกุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
จันทน์กระพ้อ
เป็นต้นไม้ขนาดกลางสูงประมาณ 15 เมตร เปลือกลำต้นเกลี้ยงสีน้ำตาลปนเทา ใบรูปขอบขนาน โคนใบเยื้องกันเล็กน้อย เส้นใบชัดทั้ง 2 ด้าน กลีบรองดอกเป็นรูปสามเหลี่ยม
ดอกสีเหลืองนวล กลิ่นหอม มีขนสีน้ำตาลด้านนอก ออกดอกเดือน พฤศจิกายนถึงมีนาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ชงโค
เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นสูงประมาณ 10 เมตร ใบเคือบกลมแยกเป็น 2 แฉกลึก ปลายแฉกกลม
ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกออกข้าง ๆ หรือที่ปลายกิ่งช่อละ ๒-๑๐ ดอก กลีบของดอกตะแคงข้าง กลีบดอกสีชมพูถึงม่วงเข้ม กลีบดอกแคบ เกสรตัวผู้มี ๓ อัน รังไม่มีขน ฝักยาวประมาณ ๒๐ เซนติเมตร เมล็ดกลมมี ๑๐ เมล็ดออกดอกเดือนกันยายนถึงกุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่ง
ชงโคเทียบชงฆา นุชนาถ เหมือนฤา....
จำปี
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 15 เมตร เรือนยอดเป็นรูปทรงเจดีย์ ใบเป็นประเภทใบเดียวรูปรี ปลายเรียวแหลม ผิวใบเกลี้ยง
ดอกสีขาว ออกตามซอกกิ่งเป็นดอกเดียว มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการตอน
จำปา
เป็นต้นไม้สูงประมาณ 15 เมตร เรือนยอดรูปทรงเจดีย์ ใบเป็นประเภทใบเดี่ยว สีสัญฐานรูปไข่หรือรูปหอก แบบใบมีขนอ่อนด้านล่าง
ดอกสีเหลืองส้ม เป็นดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ ผลเป็นช่อยาว ประกอบด้วยผลย่อย ๆ รูปร่างกลม เปลือกเขียวประจุขาว
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

จำปาหนาแน่นเนือง คลี่กลีบเหลืองเรืองอร่าม
คิดคนึงถึงนงราม ผิวเหลืองกว่าจำปาทอง
ชัยพฤกษ์
เป็นไม้ต้นผลัดใบ สูงประมาณ ๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นรูปร่ม เปลือกสีน้ำตาล ใบเป็นประเภทใบประกอบมีใบย่อย ผิวใบเกลี้ยง
ออกดอกเป็นช่อคาบกิ่งเป็นช่อสั้น ๆ กลีบรองดอกทรงรูปไข่ปลายแหลมสีแดง กลีบดอกรูปไข่กลีบ สีชมพู เกสรตัวผู้มี ๑๐ อัน ขนาดไม่เท่ากัน ฝักกลมยาวสีดำ ผิวเกลี้ยงยาวประมาณ ๕๐ เซนติเมตร มีเมล็ดประมาณ ๖๐ เมล็ด ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน
ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด
ตะลิงปริง
เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงประมาณ ๑๐ เมตร ใบเป็นประเภทใบประกอบแบบขนนกที่มีใบเดี่ยวอยู่ตอนปลาย มีใบย่อยประมาณ ๒๕ - ๔๕ ใบ ใบย่อยรูปขอบขนานแถบรูปหอก ปลายใบแหลมยาวประมาณ ๖ เซนติเมตร
ออกดอกตามกิ่งข้างและตามลำต้นบนช่อดอกสั้น ๆ กลีบดอกสีม่วงแดง ผลยาวประมาณ ๕ เซนติเมตร รอบผลเป็นร่องมี ๕ ร่อง เมื่อสุกจะออกสีเขียวอมเหลือง ฉ่ำน้ำ เมล็ดแบนมีรสเปรี้ยว
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และการทาบกิ่ง
ตะแบกนา
เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ ๒๕ เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกลำต้นเกลี้ยงผิวนวลเป็นมัน ใบเดี่ยวรูปหอก ยาวประมาณ ๑๕ เซนติเมตร
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง เมื่อดอกบานจะมีขนาดประมาณ ๒ เซนติเมตร กลีบดอกบานย่นสีม่วงอมชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีชัด ผลรูปไข่ เมื่อผลแก่ออกสีน้ำตาล แตกอ้าออกเป็นหลายกลีบ เมล็ดแบนสีน้ำตาลมีปีก ออกดอกระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแทบทุกภาค และตามทุ่งนาทั่วไป
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ตันหยง
เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงประมาณ ๔ เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกว้าง กิ่งโน้มลงใบเป็นประเภทใบประกอบ มีขนาดเล็กมาก
ดอกเล็กขนาดประมาณ ๕ มิลลิเมตร ออกรวมเป็นกระจุกอยู่ตามโคนใบ ดอกสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมแรง ฝักแบนบิดงอออกเป็นกระจุกออกดอกมากในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม เป็นไม้ปลูก
ขยายพันธ์ด้วยการเพาะเมล็ด
ตีนเป็ดน้ำ
เป็นไม้ต้นสูงประมาณ ๑๕ เมตร ทรงร่ม ใบออกเป็นกระจุกแน่นที่ปลายกิ่ง ผิวใบมันรูปไข่กลับ
ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อหนึ่งมีหลายดอก ดอกมีขนาดใหญ่ประมาณ ๔ เซนติเมตร สีขาวตรงกลางเหลือง โคนดอกติดกันเป็นหลอด กลีบดอกแยกกันมี ๕ กลีบ ผลสีเขียวเมื่อสุกดอกสีแดงเป็นมัน ชอบขึ้นตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลอง และที่ลุ่มซึ่งน้ำท่วมถึงโดยทั่วไป ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง
แต้ว
เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ ๒๕ เมตร ทรงต้นโปร่ง เปลือกลำต้นสีน้ำตาลเข้ม ล่อนเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ใบออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปขอบขนาน บางดอกมีกลิ่มหอมอ่อน ๆ
ดอกเป็นกระจุกเล็ก ๆ หรือเป็นช่อสั้น ๆ ช่อละประมาณ ๕ ดอก ออกตามกิ่งตรงโคนใบที่ร่วงไปแล้ว กลีบรองดอกสีเขียวมี ๕ กลีบ กลีบดอกสีชมพูอ่อนมี ๕ กลีบ ปลายกลีบมีครุยเป็นฝอยยาว ๆ ผลรูปไข่ยาวประมาณ ๑ - ๕ เซนติเมตร เมื่อผลแก่จะแตกออกเป็น ๓ แฉก เมล็ดขนาดเล็กมีปีกออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน พบตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป ขณะที่แตกใบอ่อนใบจะเป็นสีแดง
ขยายพันธ์ด้วยการเพาะเมล็ด

เต็งแต้วแก้วกาหลง บานบุษบงส่งกลิ่นอาย
หอมอยู่ไม่รู้หาย คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู
ทองกวาว
เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางสูงประมาณ ๑๕ เมตร ทรงพุ่มรุปทรงกลมหรือทรงกระบอก ปลายกิ่งห้อยกิ่งมักคดงอ ใบเป็นประเภทใบประกอบชนิดชนิดที่มีใบย่อย ๓ ใบ ใบใหญ่และหนามีใบย่อยอยู่กลางรูปมนกว้างเกือบกลม
ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่งและด้านข้าง ดอกยาวประมาณ ๗ เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีเขียวเข้มคล้ายกำมะหยี่มีขนคลุม กลีบดอกสีแดงสด ผลเป็นฝักสีเขียวอ่อน เมื่อผลแก่สีเปลี่ยนเป็นน้ำตาลอมเหลือง

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552


มีรักแรกใครใครก็ว่าหวาน สองรักพาลหาว่าเรานั้นเจ้าชู้ สามรักซ้อนเค้าบอกไม่น่าดู คนเจ้าชู้อย่างเราทำไงดี

คำว่า “ แม่ “ มิอาจหา สิ่งใดเปรียบ มิอาจเทียบ แม่มีค่า กว่าสิ่งไหน สวยที่สุด สำหรับลูก สุดดวงใจ แม่นั้นไซร้ เป็นทั้งเพื่อน ที่แสนดี

ระบบนิเวศ


ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศ หมายถึง หน่วยของความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่ง มาจากรากศัพท์ในภาษากรีก 2 คำ คือ Oikos แปลว่า บ้าน, ที่อยู่อาศัย Logos แปลว่า เหตุผล, ความคิด
ความหมายของคำต่างๆ ในระบบนิเวศ
สิ่งมีชีวิต (Organism) หมายถึง สิ่งที่ต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. ต้องมีการเจริญเติบโต 2. เคลื่อนไหวได้ด้วยพลังงานที่เกิดขึ้นในร่างกาย 3. สืบพันธุ์ได้ 4. สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม 5. ประกอบไปด้วยเซลล์ 6. มีการหายใจ 7. มีการขับถ่ายของเสีย 8. ต้องกินอาหาร หรือแร่ธาตุต่างๆ
ประชากร (Population) หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เป็นชนิดเดียวกัน อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
กลุ่มสิ่งมีชีวิต (Community) หมายถึง สิ่งมีชีวิตต่างๆ หลายชนิด มาอาศัยอยู่รวมกันในบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตนั้นๆ มีความสัมพันธ์กัน โดยตรงหรือโดยทางอ้อม
โลกของสิ่งมีชีวิต (Biosphere) หมายถึง ระบบนิเวศหลายๆ ระบบนิเวศมารวมกัน
แหล่งที่อยู่ (Habitat) หมายถึง บริเวณ หรือสถานที่ที่ใช้สำหรับผสมพันธุ์วางไข่ เป็นแหล่งที่อยู่ เช่น บ้าน สระน้ำ ซอกฟัน ลำไส้เล็ก
สิ่งแวดล้อม (Environment) หมายถึง 1. สิ่งที่มีผลต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโตหรือ ดำรงชีวิตได้ดีหรือไม่ 2. สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวเรา ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
ส่วนประกอบ
จะประกอบด้วย
ผู้ผลิต คือ พืชต่างๆ
ผู้บริโภค คือ ผู้กิน การกินจะแบ่งเป็น 4 อย่าง
บริโภคพืช(habovore) เช่น โค กระบือ
บริโภคสัตว์(carnivore) เช่น เสือ สิงโต
บริโภคทั้งพืชและสัตว์ (omnivore)เช่น มนุษย์ ไก่
บริโภคซากพืชซากสัตว์ (scavenger)เช่น แร้ง มด
ผู้ย่อยสลายอินทรียสาร คือ พวกแบคทีเรีย โดยการหลั่งน้ำย่อยออกมาเพื่อย่อยสลายซากพืชซากสัตว์เพื่อให้มีโมเลกุลที่เล็กลงจนสามารถดูดซึมเข้าร่างกาย เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา

ดอกไม้ที่ในโลกนี้ เรารู้ได้อย่างดี ว่างามสดสีทั้งนั้น
ปวงมาลีมากมีต่างพรรณ สวยงามทั่วกัน เพื่อความสัมพันธ์ชื่นชม
บุปผามาลีประดับความงาม หาใช่เพื่อเลวทราม แต่มีเพื่อความนิยม
บุปผามาลีมีไว้เพื่อดูและดม ไว้ชะโลมอารมณ์ ไว้เพียงเพื่อชมนาน ๆ
ดอกไม้ที่ในโลกนี้ แจ่มใสอยู่ด้วยดี สอางค์สดสีสะอ้าน
ปวงมาลีเกิดมาเพื่อความเบิกบาน เล้าโลมวิญญาณ เพื่อความสำราญทุกโมงยาม
ดอกไม้สอางค์ต่าง ๆ นานา ล้วนแต่เกิดมา เพื่อความสดชื่นสวยงาม
โลกหมุนเวียนวนไปสักกี่หนก็ตาม ทุกนาทีโมงยาม ทวีแต่ความงามครัน
บุปผามาลีนานาพรรณของไทยนับวันจะหายาก และไม่ไคร่เป็นที่รู้จักของอนุชนรุ่นหลัง เนื่องจากสาเหตุหลายประการด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนและป่าตามธรรมชาติของไทยค่อย ๆ หมดสภาพไปตามความเป็นไปของบ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งเจริญขึ้นในด้านหนึ่ง และเสื่อมไปในอีกด้านหนึ่ง ความนิยมพันธุ์ไม้ต่างชาติซึ่งก็สวยงามน่าชมทั้งสิ้น ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้พรรณไม้ของไทยหายไปจากชีวิตประจำวัน พรรณไม้บางอย่างคงรู้จักแต่ชื่อ แต่ตัวจริงหาดูได้ยาก
ปัจจุบันหลายหน่วยงานได้มีการรวบรวมพรรณไม้ไทยมาปลูกไว้ในสวนขนาดต่าง ๆ ตามกำลังของตนซึ่งนับว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี ควรได้ส่งเสริมให้เป็นไปอย่างกว้างขวางทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งกลุ่มคนและปัจเจกบุคคล เพื่อให้พรรณไม้ไทยได้ยืนยงคงอยู่ได้ชมความงามตามธรรมชาติ ซึ่งบรรพบุรุษของไทยเราได้สร้างสมมาเป็นเวลายาวนาน บรรดาวรรณคดีไทยและวรรณกรรมไทย จะมีตอนชมนกชมไม้แทรกอยู่โดยตลอด ทำให้เห็นว่าวิถีชีวิตไทยที่มีความเป็นอยู่อย่างสุขสงบมาเป็นเวลาช้านานนั้น การอิงธรรมชาติเป็นสิ่งที่สำคัญประการหนึ่ง และพรรณไม้ดอกของไทยก็มีส่วนอย่างสำคัญในวิถีชีวิตดังกล่าว
ไม้งามปกคลุมชะอุ่มดูเขียว ได้แต่แลเหลียวตะลึงลานใจ
พันธุ์บุปผาชาติดาษดา ผกาวิไล ส่งกลิ่นชื่นใจเมื่อได้ลมพาไม้ดอกต่าง ๆ ของไทย มีตั้งแแต่ขนาดเล็กเป็นไม้ล้มลุก ไม้เถา ไม้เลื้อย ไม้พุ่ม ตลอดจนไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ไปจนถึงขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีไม้น้ำหลายประเภทที่ให้ดอกสวยงาม นับว่ามีความหลากหลายเหมาะสมแก่สภาพความเป็นอยู่ และความต้องการที่จะมีไว้ชื่นชม